เสือตะกั่ว หลวงพ่อโชติ (ระลึกชาติ) คุณสัมปันโน วัดวชิราลงกรณ์วรวิหาร ปากช่อง นครราชสีมา
หลวงพ่อโชติท่านเป็นพระที่ถือสันโดษ เคร่งครัดในพระธรรมวินัย ปราศจากความโลภ โกรธ หลง และมีกิริยา วาจา ใจ เป็นที่น่าเลื่อมใสยิ่ง ใครได้พบและพูดคุยกับท่านเพียงครั้งเดียว ก็จะเกิดศรัทธาในตัวท่านตลอดไป ด้วย คำพูด คำสั่งสอน และความเมตตากรุณาต่อมวลมนุษย์ แม้แต่นายสัญญา ธรรมศักดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี และพล.อ.กฤษณ์ สีวะรา เมื่อพบหลวงพ่อโชติที่ไหน ก็จะเข้ามากราบที่ตักทุกครั้ง
เป็นที่กล่าวขานกันว่าท่านเป็นพระอาจารย์ที่มีพลังจิตน่ามหัศจรรย์ สามารถระลึกชาติและรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าได้ โดยเมื่อชาติปางก่อนมีนามชื่อ “เล็ง เมืองไทย”กำเนิดเมื่อ พ.ศ. 2406 ณ หมู่บ้านกระทม ต.นาบัว อ.เมืองทิศใต้ จ.สุรินทร์ มีพี่น้องร่วมมารดา 2 คน คนพี่เป็นหญิงชื่อ เหรียญ เมื่ออายุ 16 ปีได้ไปบวชเรียนอยู่กับหลวงน้าฉิมที่วัดนาแห้ว จนมีความรู้แตกฉานในพระพุทธศาสนาและภาษาขอมเป็นอย่างดี ก่อนลาสิกขาบทไปอยู่บ้าน 20 ปี โดยแต่งงานและมีบุตร 3 คน กระทั่งอายุ 45 ปีได้ถึงแก่กรรมแล้วมาเกิดเป็นหลวงพ่อโชติเมื่อปีพ.ศ 2451
หลวงพ่อโชติ จะมีอรรถรสในการพูดที่ทำให้ใครต่อใครสะดุ้ง เพราะทำไม่ดี ยามเงียบท่านจะสำรวมกาย วาจา ใจ เพื่อให้จิตอยู่ในสมาธิตลอดเวลาด้วยความไม่ประมาท การปฏิบัตินั้นจะเคร่งครัดมาก โดยใช้เวลาส่วนมากไปในทางวิปัสสนาเพื่อให้สิ้นซึ่งอาสวะกิเลสทั้งปวง นอกจากนี้ยังชอบในเรื่องการเทศน์เป็นที่สุด โดยจะพยายามให้ญาติโยมแต่ละท้องถิ่นเข้าใจไปด้วย อาทิ เมื่อสวดมนต์กับคนภาคเหนือ ก็จะแปลเป็นภาษาเหนือ สวดมนต์กับคนลาวก็แปลเป็นภาษาลาว สวดกับคนเขมรพอว่าบาลีเสร็จ ก็แปลเป็นเขมรเสียเลยทีเดียว
ที่น่าแปลกก็คือบางครั้งแปลเป็นสองภาษาเลย ถ้าหากญาติโยมมาจากท้องถิ่นที่ต่างกัน เสียงสวดมนต์ของท่านนั้นดังกังวานและไพเราะจับใจ ชาวบ้านใกล้วัดที่ได้ยินเสียงสวดมนต์ทำวัตรดังแต่ตอนตีสี่ มักจะมาร่วมทำวัตรกับพระที่วัดของท่านทุกครั้ง
เรื่องน่าอัศจรรย์ของท่านที่ได้ถูกร่ำลืออย่างมากก็คือ “สามารถชี้พายุดับ” เมื่อครั้งดำรงสมณศักดิ์เป็นพระธรรมฐิติญาณ เจ้าคณะธรรมยุต จ.สุรินทร์ ซึ่งต้องออกไปอบรมพระภิกษุในที่ต่างๆ ทั่วจังหวัดเพื่อให้รู้แจ้งเห็นจริงในพระธรรมปรมัตถ์
ขณะที่ท่านกำลังบรรยายธรรมได้เกิดพายุพัดมาอย่างแรงต้นไม้ใบหญ้าราบเป็นหน้ากลอง ก่อนที่จะเคลื่อนตัวมาถึงศาลาวัดที่ท่านยืนบรรยายอยู่ ท่านได้หยุดสอนชั่วขณะ แล้วเอามือชี้เพื่อห้ามพายุนั้น ปรากฏว่าเจ้าพายุร้ายดับสงบลงทันที ท่ามกลางความตะลึงของเหล่าพระภิกษุที่อยู่ในเหตุการณ์ จนกลายเป็นเรื่องเล่าขานบันทึกอยู่ในประวัติของท่านสืบมา
ในด้านวัตถุมงคลท่านไม่ค่อยได้สร้างและปลุกเสก ด้วยถือว่าตราบใดที่ยังไม่สามารถดับกิเลสหมดสิ้นได้ เครื่องรางของขลังก็ยังไม่บริสุทธิ์พอ เป็นที่เสื่อมเสียแก่พระพุทธศาสนาได้
กระทั่งปี พ.ศ.2506 ท่านเริ่มปลุกเสกเครื่องรางของขลังครั้งแรก และแจกจ่ายแก่ญาติโยมในโอกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฏราชกุมาร เสด็จทรงวางศิลาฤกษ์พระอุโบสถ อาทิ รูปหล่อพระมหาพุทธนิรันตราย, รูปหล่อตัวท่าน, รูปหล่อพระเจ้าแผ่นดินยืน, พระพิมพ์สมเด็จสามชั้น, เหรียญรูปเหมือน
เมื่อต้นปีพ.ศ. 2517 ท่านได้อาพาธด้วยโรคดีซ่าน แล้วเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลศิริราช พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ ได้ทรงรับไว้เป็นคนไข้ของพระองค์ จวบจนถึงกาลมรณภาพเมื่อวันที่ 24 มี.ค. ปีดังกล่าว